สิทธิชัย ใช้ทีโอทีกับกสท เปิดแนวรุกสู้ศึกไซเบอร์ป่วนเมืองด้วยการให้กสทเปิดเว็บไซต์ ให้ข้อมูลข่าวสารเนื้อหาสาระเน้นการเมืองและสังคมไม่ว่าจะทำเองหรือเอาท์ซอร์ส ขณะที่ทีโอที ตั้งทีมไซเบอร์ อินสเปกเตอร์ ตอบกระทู้อย่างรวดเร็วและทันเวลา
นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่าได้สั่งการให้บริษัท ทีโอที กับบริษัท กสท โทรคมนาคม ดำเนินการตอบโต้กลุ่มคนที่สร้างความสับสน แตกแยกในสังคม ทางเว็บไซต์ และเพื่อให้เกิดการชี้แจงรายละเอียดได้ทันท่วงที โดยในส่วนของทีโอที ให้เตรียมการจัดตั้งทีมงานขึ้นมาชุดหนึ่งราว 20-30 คน เพื่อช่วยงานในลักษณะของ cyber inspector ทำหน้าที่ชี้แจง และให้รายละเอียดตามกระทู้ของเว็บไซต์ต่างๆที่มีคนสนใจเข้ามาอ่านและให้ความเห็นกันมากอย่างทันท่วงที
ส่วนกสทให้เตรียมการเป็นเว็บมาสเตอร์ ในการจัดทำเว็บไซต์ให้ข้อมูลข่าวสารในลักษณะเชิงรุก โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเมืองและสังคม ซึ่งส่วนหนึ่งกสทจะเป็นผู้จัดทำเองและมีการจ้างคนนอกหรือเอาต์ซอร์สในบางส่วนโดยเว็บไซต์ดังกล่าวจะต้องทำให้มีคนเข้ามาดูและอ่านให้มากที่สุด ด้วยความน่าสนใจของเนื้อหาที่ต้องทันเหตุการณ์และการให้ความเห็นหรือข้อมูลผ่านกระทู้ต่างๆต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว โดยเว็บไซต์นี้จะจัดทำขึ้นมาใหม่ ไม่ได้พัฒนาจากเว็บไซต์เดิมของไอซีที ซึ่งมีคนสนใจจำนวนน้อย
นายสิทธิชัยกล่าวว่า ในส่วนของทีโอที ที่จัดตั้งทีมตอบกระทู้คาดว่าจะเริ่มได้หลังเทศกาลสงกรานต์ ส่วนการจัดตั้งเว็บไซต์ของกสทอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งซึ่งเชื่อว่า การดำเนินการในลักษณะนี้จะสามารถตอบโต้และแก้ปัญหากลุ่มคนที่พยายามสร้างความเข้าใจที่ผิดต่อบรรยากาศการเมือง สังคม และสถาบันเบื้องสูงในประเทศได้มากขึ้น
โครงสร้างหลักของมาตรการตอบโต้ครั้งนี้จะต้องมีเซ็นเตอร์หรือศูนย์กลางคอยประสานระหว่างทีโอทีกับกสท ซึ่งในช่วงแรก ผมจะทำหน้าที่นี้ไปก่อน
รมว.ไอซีทียังได้หารือกับเว็บมาสเตอร์ของพันทิพดอทคอม โดยให้เว็บมาสเตอร์พยายามดูแลกระทู้ในห้องสนทนา ราชดำเนินให้มากขึ้น และได้อนุญาตให้เว็บไซต์นี้เปิดห้องกระทู้ราชดำเนินได้แล้วตั้งแต่บ่ายวานนี้(10 เม.ย.) อย่างไรก็ตามนายสิทธิชัยกล่าวว่าที่ผ่านมาไม่ได้สั่งการให้เว็บไซต์แห่งนี้ปิดห้องสนทนาราชดำเนิน แต่เป็นความสมัครใจของเว็บมาสเตอร์เอง เพราะเกรงว่าจะควบคุมความเห็นได้ยาก
นอกจากนี้ กระทรวงไอซีทีจะส่งส่งจดหมายไปอธิบายให้เว็บไซต์ youtube.com และ google.com ทราบว่าสิ่งที่ลงในเว็บไซต์นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องการแสดงความคิดเห็นที่จะไปต่อว่านักการเมือง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่เหนือการเมืองอยู่แล้ว และการที่สั่งบล็อกเว็บไซต์ดังกล่าวไม่ได้มีเหตุผลว่าไม่ต้องการให้คนไทยดู เนื่องจากเรื่องเช่นนี้คนไทยยิ่งดูก็ไม่มีใครเชื่อ และจะเกิดความเคียดแค้น
ขณะนี้ผมกำลังคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศ ผมเข้าใจว่าบริษัทเอกชนในสหรัฐอเมริกาต่อต้านรัฐบาลทุกชาติในโลก รวมทั้งรัฐบาลของเขาเอง เพราะฉะนั้นกระทรวงการต่างประเทศต้องหาทางไปเจรจา
กรณีที่บริษัท YOUTUBE อ้างว่า เป็นนโยบายบริษัทที่ต้องการให้มีสิทธิเสรีภาพในการเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งเห็นว่าเป็นการทูตแบบมือถือสาก ปากถือศีล เพราะเมื่อปีที่แล้ว GOOGLE ยังยอมที่จะเซ็นเซอร์ตัวเองในประเทศจีน ทำให้ประชาชนอเมริกันไม่พอใจ เพราะใน GOOGLE มีแหล่งข่าวต่าง ๆ มาก จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
-ผู้จัดการออนไลน์-